ก้าวล้ำนำสมัยด้วยนวัตกรรมที่อำนวยความสะดวกเรื่องการช้อปให้เสมือนจริงในทุกห้วงเวลา เมื่อเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำค้าปลีกแห่งอนาคต พร้อมอวดโฉม CRC Immersive Retail Platform ครั้งแรกของโลก ที่เชื่อมโยงโลกจริงและโลกเสมือนด้วยเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน โดยมี Generative AI ผสานให้ทุกการช้อปสนุกสนานไร้ขอบเขตทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ โซเชียลมีเดีย Live Streaming และ Virtual Store ชวนสร้างประสบการณ์สุดตื่นตาให้ลูกค้าทุกคนได้ค้นพบความพิเศษอยู่เสมอ พร้อมต้อนรับสู่ประตูมิติใหม่เอาใจขาช้อปให้สนุกและแตกต่างกว่าที่เคย 

ปฏิวัติรูปแบบการช้อปปิ้งให้ยืนหนึ่งในใจผู้บริโภคในฐานะผู้นำค้าปลีกอันดับหนึ่งของเมืองไทย เซ็นทรัล รีเทล เดินหน้านำเสนอนวัตกรรมใหม่ เปิดตัว C-Verse แอปพลิเคชันล้ำหน้าขั้นกว่าของระบบออมนิแชแนลในเมืองไทย ซึ่งถือเป็นโปรเจกต์ภายใต้ CRC Immersive Retail Platform เพื่อตอบสนองความต้องการในทุกด้านของการช้อปปิ้งได้อย่างมีสีสัน พร้อมส่งตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่สะท้อนความทันสมัยอย่าง เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง นักแสดงสาววัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ ชื่นชอบสิ่งใหม่ๆ และคอยติดตามเทคโนโลยีสุดล้ำอยู่เสมอ และมีนิยาม The New Girl เป็นของตนเอง ที่พร้อมมาเชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสโลกใบใหม่และฟีเจอร์สุดล้ำไปด้วยกัน

นางณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดย C-Verse ภายใต้โปรเจกต์ CRC Immersive Retail Platform ทำให้ลูกค้าจะได้สัมผัสอีกขั้นของประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ สามารถเลือกหยิบสินค้าจากชั้นวางในแบบ 3 มิติ ที่ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสหมุนดูได้ 360 องศา และสามารถสั่งซื้อสินค้าได้จริงผ่านบริการผู้ช่วยช้อปส่วนตัว หรือ Personal Shopper พร้อมด้วยฟีเจอร์ ผู้ช่วยส่วนตัวเป็น AI Avatar ที่สามารถโต้ตอบ ให้คำแนะนำได้แบบเรียลไทม์ ไปจนถึงขั้นตอนการชำระเงิน และจัดส่งถึงบ้านภายใน 1-2 วัน โดยบริษัทเริ่มต้นจากท็อปส์ คลับคาดว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะผลักดันสัดส่วนรายได้ Personal Shopper เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมอยู่ที่ 10%

“ทั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทล ได้ร่วมมือกับ หัวเว่ย คลาวด์ ในการสนับสนุนแอปพลิเคชัน C-Verse ซึ่งรองรับความหลากหลายของเทคโนโลยี ช่วยให้การเชื่อมต่อแพลตฟอร์มระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้ระบบและแอปพลิเคชันมีความคล่องตัว ตอบโจทย์การสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างไร้ขีดจำกัด” นางณัฐธีรา กล่าว

นางณัฐธีรา กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาในครั้งนี้ เป็นการรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ จึงมั่นใจปี 2566 รายได้บริษัทจะโต 12-15% ต่อปีตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายไปในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ภายในเครือ ทั้งกลุ่มสินค้าความงาม และกลุ่มเกี่ยวกับบ้าน โดยภายใน 3-5 ปีคาดว่าจะนำทุกสินค้าในเครือของบริษัทเข้ามาอยู่ในโลกเสมือนได้ครบ และคาดว่าในสิ้นปี 2566 จะมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเกินกว่า 30,000 ดาวน์โหลด

นายชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หัวเว่ยมีความพร้อมทั้งด้านกลยุทธ์ ด้านการวิจัยและพัฒนา ในการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและเชื่อมต่อได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งหัวเว่ย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงประสบการณ์ในระดับโลกมาร่วมสนับสนุนผู้นำค้าปลีกชั้นนำของเอเชียอย่างเซ็นทรัล รีเทล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า

ทั้งนี้ เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง ได้เผยถึงความประทับใจในการร่วมเปิดตัวงานนี้ว่า “เบ็คกี้ รู้สึกตื่นเต้นและตระการตากับ CRC Immersive Retail Platform และแอปพลิเคชัน C-Verse ของเซ็นทรัล รีเทลเป็นอย่างมาก เพราะสร้างมุมมองมิติใหม่ที่เปิดโลกแห่งการช้อปปิ้งให้แตกต่างจากที่เคยเป็น ด้วยความที่เบ็คกี้เป็น
คนที่ชอบมองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายตลอดเวลา ประกอบกับการที่คอยติดตามด้านเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวย
ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของเรา รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นนักช้อปตัวยงของตัวเอง ทำให้การทดลองใช้งาน
แอปพลิเคชัน C-Verse ในวันนี้ตอบโจทย์ครบทุกมิติของเบ็คกี้อย่างแท้จริง” 

สำหรับการใช้งานแอปพลิคชัน C-Verse นั้นสะดวกและง่ายดาย ทุกคนสามารถเลือกหยิบสินค้าจากเชลฟ์
ในรูปแบบ 3 มิติ ที่ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสหมุนดูได้ 360 องศา เพิ่มความสะดวกสบายด้วยการสั่งซื้อสินค้าได้จริง
ผ่านบริการ Personal Shopper และเพลิดเพลินไปกับฟีเจอร์เด่นผ่านเทคโนโลยี Generative AI อาทิ การมีผู้ช่วยส่วนตัวเป็น AI Avatar ที่มาคอยให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ รวมถึงโต้ตอบได้เหมือนจริง สร้างความบันเทิงตลอดการช้อปเหมือนมีเพื่อนรู้ใจ และยังสามารถเปิด AR Mode เพื่อเชื่อมต่อการช้อปปิ้งเมื่อใช้งานอยู่ต่างแพลตฟอร์มระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนให้ร่วมกันช้อปปิ้ง ถ่ายรูป และ Gamification ได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย ซึ่งความพิเศษของฟีเจอร์นำเทรนด์ C-Verse ประกอบด้วย 4 ไอคอน ได้แก่

  • ไอคอน Product Highlight โซนแคมป์ปิ้ง มีสินค้าให้เลือกชมกว่า 20 รายการ ในรูปแบบ 3 มิติ โดยสามารถปรับมุมมองได้ 360 องศา รายละเอียดของสินค้าจะถูกถ่ายทอดโดย ‘พะพราว’ (อินฟลูเอ็นเซอร์เสมือนจริง) เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าใจถึงประโยชน์ของสินค้ามากขึ้น
  • ไอคอน AI Chatbot ‘Annie’ ในรูปแบบแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ ChatGPT พัฒนาขึ้นสำหรับผู้ใช้งานภายใน C-Verse โดยเฉพาะ เพื่อตอบทุกคำถามและข้อสงสัยที่ลูกค้าต้องการ โดยจะปรากฏขึ้น
    เมื่อผู้ใช้งานกดไอคอน Annie และสามารถถาม-ตอบคำถามได้แบบเรียลไทม์ ให้ลูกค้าได้เพิ่มความตื่นเต้น
    และเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน  
  • ไอคอน Mini Game เกมที่จะมาเพิ่มความสนุกสนานให้กับการใช้งาน ในคอนเซปต์ของการล่าสมบัติ กติกาคือผู้เล่นจะต้องค้นหาและเก็บรวบรวม NFT ที่ซ่อนอยู่ภายในร้าน Tops CLUB ให้ครบรวม 6 แบบ เพื่อนำมาใช้แลกรับของรางวัลสุดพิเศษ โดยผู้เล่นจะต้องเดินหา NFT ที่จะปรากฏแบบสุ่มใน 2 รูปแบบ ได้แก่ Virtual mode ซึ่งสามารถใช้งานจากที่ไหนก็ได้ และ AR mode ใช้ได้เฉพาะที่ Tops CLUB พระราม 2 เท่านั้น  
  • ไอคอน Photobooth กิจกรรมยอดนิยมอย่างบูธถ่ายภาพ ให้ผู้ใช้งานได้ถ่ายภาพร่วมกับเพื่อน ครอบครัว หรือ “พะพราว” เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกและสร้างสรรค์เป็นคอนเทนต์แชร์ลงโซเชียลมีเดียที่ไม่ซ้ำใคร กับมุมที่หาได้เฉพาะที่ ท็อปส์ คลับเท่านั้น นอกจากนั้นยังสามารถเลือกภาพพื้นหลังที่เป็นสัญลักษณ์ของ Tops CLUB และท่าทางที่ต้องการตามความชอบเพื่อให้ Avatar โพสต์ท่าตาม และยังสามารถชวน พะพราว เข้ามาร่วมเฟรมได้เพื่อสร้างสีสันให้กับภาพถ่ายอีกด้วย

การเลือกนำเทคโนโลยีใหม่สุดสร้างสรรค์ที่เรียกได้ว่าเป็น Virtual Store สุดครบครันและครอบคลุมทุกการใช้งานแห่งแรกของไทย อย่าง C-Verse เข้ามาเป็นตัวช่วยหลักของการบริการ จึงตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่รักในเทคโนโลยีและชื่นชอบการช้อปปิ้งในทุกช่องทางได้อย่างไร้ขีดจำกัด ส่งมอบประสบการณ์การช้อปที่เหนือระดับให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ความน่าสนใจของการใช้งานแอปพลิเคชัน C-Verse ยังช่วยดึงดูดให้ลูกค้าทุกกลุ่มทุกเจเนอเรชัน สามารถร่วมค้นพบมิติใหม่ที่แตกต่างอยู่เสมอ ผ่านตัว Avatar ที่ Customize เองได้ และสามารถกดเลือกสินค้าลงตะกร้า ไปจนถึงขั้นตอนการชำระเงิน และจัดส่งถึงบ้านภายใน 1-2 วัน ได้อย่างสะดวกสบายครบวงจร

ร่วมสัมผัสและค้นพบประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้งบนโลกเสมือนจริง ครั้งแรกในโลกกับ CRC Immersive Retail Platform ผ่าน C-Verse ได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ c-verse.io และดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่าน App Store และ Google Play หรือสแกน QR Code ด้านล่างนี้

เกี่ยวกับเซ็นทรัล รีเทล บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลีและเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม เครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,553 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ครอบคลุมทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ (1) กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บ้าน แอนด์ บียอนด์ / บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม (2) กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี / GO! ลานชี มาร์ท ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม และมินิ โก (go!) (3) กลุ่มแฟชั่นซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป และ (4) กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ และร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี / GO! เวียดนาม (5) กลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายและให้บริการด้านสุขภาพคนและสัตว์เลี้ยง เช่น ท็อปส์แคร์ ท็อปส์วีต้า และ เพ็ทแอนด์มี โดย ณ 31 มีนาคม 2566 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 58 จังหวัด, ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 42 จังหวัดและประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566)